5G กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมการแพทย์
การเข้ามาของเทคโนโลยี 5G
เป็นกระแสที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เนื่องจาก 5G เป็นปัจจัยสำคัญ ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital transformation)
5G เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายเจเนเรชั่นที่ 5 ที่มีการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในเรื่องของความเร็วอัพโหลดและดาวน์โหลดบนเครือข่ายไร้สายให้เสถียรและเร็วขึ้น โดยหากเปรียบเทียบกับเทคโนโลยี 4G ที่ใช้กันอยู่ตอนนี้ 5G จะสามารถทำความเร็วได้เร็วกว่าถึง 10 เท่า ซึ่ง 5G ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 10 กิกะบิทต่อวินาที (Gbps) ในขณะที่ 4G นั้นสามารถทำได้สูงสุดที่ 1 Gbps เท่านั้น
ในปัจจุบันการเข้าถึงการรักษาโรคนั้น มีเพียงทางเลือกเดียว คือผู้ป่วยต้องเดินทางไปพบแพทย์ ที่โรงพยาบาลหรือคลินิก แต่สำหรับผู้คนในพื้นที่ห่างไกล อาจต้องใช้เวลานานในการเดินทางหรืออาจเป็นไป ไม่ได้เลย ดังนั้น Telemedicine และระบบตรวจสอบติดตามผู้ป่วยจากระยะไกล จึงมีความสำคัญในการพัฒนาระบบการให้บริการสาธารณสุขของประเทศ
อย่างไรก็ตาม Telemedicine และระบบตรวจสอบติดตามผู้ป่วยจากระยะไกล จำเป็นต้องมี การส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็วระดับ Gbps เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์วิเคราะห์ภาพที่มีความละเอียดสูง และ การใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) ซึ่งมีจำนวนข้อมูลบนเครือข่ายมหาศาล โดย 5G สามารถตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ได้ และในปัจจุบันมีแนวโน้มการประยุกต์ใช้ 5G ด้านการแพทย์
ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้ 5G ด้านการแพทย์ของไทย ประการแรกคือ การที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายด้านการแพทย์ที่ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากแต่มีคุณภาพ ทำให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขัน และมีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำทางการแพทย์ในลำดับต้นๆ ของโลก ประการที่สองคือ การสร้างโอกาส การเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้อย่างเท่าเทียมและสามารถลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ทำให้ผู้ป่วยสามารถได้รับการดูแลจากจากโรงพยาบาลใกล้บ้านได้ อย่างไรก็ตามแม้การประยุกต์ใช้ 5G ด้านการแพทย์จะมีประโยชน์อย่างมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ที่ยังไม่เอื้อต่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในพื้นที่ห่างไกล อีกทั้งยังมีปัญหาในการจัดเก็บและจัดการข้อมูลผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ รวมถึงความเชื่อมั่น ของคนไข้ในพื้นที่ห่างไกลในการรับการรักษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
ข้อดี
- ผู้ป่วยได้รับการรักษาได้รวดเร็ว
- สั่งการได้ทุกที่ ที่มีสัญญาณ 5 G
- ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางไปพบแพทย์ ที่โรงพยาบาลหรือคลินิก
- สามารถติดตามผู้ป่วยจากระยะไกล โดยการส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็วระดับ Gbps
ข้อเสีย
- สัญญาณ 5G ยังไม่ได้ครอบคลุมในที่พื้นที่- สัญญาณยังไม่ค่อยสเถียร
- การเชื่อมต่อ 5G มีราคาที่ค่อนข้างสูง
ถ้า 5G ด้านการแพทย์เกิดขึ้นจะทำให้ตัวเราสามารถรับการรักษาที่รวดเร็วไม่ต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ห่างจากบ้านของเรา
สรุป
การประยุกต์ใช้ 5G ด้านการแพทย์ ทำให้เราสามารถส่งข้อมูลขนาดใหญ่ วิเคราะห์วินิจฉัยโรค อย่างรวดเร็ว พัฒนาการรักษาแบบ Telemedicine โดยใช้ AR และ VR การประยุกต์ใช้ AI ในการวินิจฉัยโรค และการติดตามผู้ป่วยจากระยะไกล ซึ่งถือเป็นการพัฒนาบริการด้านการแพทย์อย่างก้าวกระโดด แต่อย่างไรก็ตามการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ทางด้านการแพทย์นั้น มีความจำเป็นต้องอาศัยความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม บุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ การจัดเก็บและจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ รวมถึงการสร้างความตระหนักการรับรู้แก่ประชาชน เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลด้านการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น